Facebook Founder Mark Zuckerberg Commencement Address | Harvard Commencement 2017
[The purpose of life is a life of purpose. :: เป้าหมายของชีวิตคือการใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย]
สรุปคำพูดที่ Mark Zuckerberg กล่าวในพิธีจบการศึกษาที่ Harvard 2017
.
.
Mark Zuckerberg เริ่มเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ Computer Science ในปีค.ศ. 2002 ในช่วงนั้นเขาได้ก่อตั้ง Facebook ในหอพักเพื่อทำการเชื่อมโยงเพื่อนๆเข้าไว้ด้วยกัน
.
.
ในปีค.ศ. 2004 เขาอยู่ปี 2 แต่เขากลับตัดสินใจลาออกเพื่อย้ายไป Silicon Valley เพื่อตั้งบริษัท หาทีม และหาทุนที่จะทำเป้าหมายของเขาให้เป็นจริง
.
.
ในวันที่ 25 พ.ค. 2017 หรือ 13 ปีหลังจากที่เขาลาออก เขาจะได้รับปริญญากิตติมศักดิ์ (Honorary Degree) จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และจะเป็นผู้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในงานฉลองวันจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยให้บัณฑิตใหม่ทุกคนที่จบการศึกษาในปีนี้ฟังด้วย
.
.
สิ่งที่เขากำลังบอกเราผ่านสุนทรพจน์นี้ คือการเชิญชวนพวกเราให้เปลี่ยนแปลงโลก และหัวใจสำคัญที่ถูกเน้นย้ำในสุนทรพจน์คือ “เป้าหมาย” (Purpose) ถ้าเราเข้าไปดูในเนื้อหาสุนทรพจน์ของเขาที่มีความยาวทั้งสิ้น 30 นาที เราจะพบว่า เขาได้ใช้คำว่า“เป้าหมาย” ไปทั้งหมดประมาณ 27 ครั้ง
.
.
Mark เชื่อว่าการหาเป้าหมายชีวิตตามสัญชาตญาณ หรือการตามหาความสำเร็จของชีวิตตัวเราเองยังไม่เพียงพอ เรามีสิ่งที่ท้าทายยิ่งกว่า นั้นคือ ค้นหาความหมายของเราและผู้อื่นไปพร้อมๆกัน หรือการสร้างให้ทุกคนมี “การรับรู้ถึงเป้าหมาย” (Sense of Purpose)
.
.
ประธานาธิบดี John F Kennedy ได้เดินทางไปเยี่ยม NASA Space Center เขาเห็นภารโรงกำลังเดินถือไม้กวาดอยู่ เขาจึงเดินไปทักทายพร้อมถามว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ ภารโรงตอบกลับว่า “ท่านประธานาธิบดีครับ ผมกำลังช่วยพามนุษย์ขึ้นไปสู่ดวงจันทร์”
.
.
พวกเรากำลังอยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านจากแรงคนไปสู่เครื่องจักรหรือออโตเมชั่น ผู้คนมากมายกังวลกับสิ่งที่จะมาถึง เพราะถ้าเครื่องจักรมาแทนที่คนโดยสมบูรณ์ แล้วคนจะอยู่ได้อย่างไรถ้าขาดเป้าหมายในชีวิต ดังนั้นสิ่งที่ท้าทายในยุคนี้คือทำอย่างไรให้พวกเขามี “การรับรู้ถึงเป้าหมาย”
.
.
“การรับรู้ถึงเป้าหมาย” มีความสำคัญมากในการทำงานเป็นทีมและบริหารทรัพยากรบุคคล เพราะถ้าพนักงานหรือหุ้นส่วนไม่มีการรับรู้ถึงเป้าหมาย และขาดการรับรู้ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขา วันหนึ่งพวกเขาจะขาดความสามัคคี ไม่มีความสุข จึงไม่อยากมุ่งไปข้างหน้า และพร้อมจะเดินจากไปในช่วงเวลาที่มีรอยร้าวและปราศจากความเข้าใจกัน
.
.
มีอยู่ 3 วิธีที่เราสามารถสร้างให้คนรอบตัวเรารับรู้ถึงเป้าหมายได้ 1.การทำโปรเจ็คที่มีความหมายยิ่งใหญ่ร่วมกัน 2. ให้ทุกคนมีอิสระในการไล่ล่าเป้าหมายอย่างเท่าเทียม 3. การสร้างชุมชนที่ไร้รอยต่อ
.
.
ในอดีตมนุษย์ได้ร่วมมือกันทำ “โปรเจ็คที่มีความหมายยิ่งใหญ่ร่วมกัน”มาโดยตลอด ไม่ว่าการจะพามนุษย์ไปสู่ดวงจันทร์เป็นครั้งแรกของมนุษยชาติ การกำจัดโรคโปลิโอให้หายสาบสูญไปจากโลกใบนี้ การสร้างเขื่อนฮูเวอร์ซึงเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน
.
.
โปรเจ็คเหล่านั้น ไม่ได้แค่ให้เป้าหมายกับคนที่ทำงานเท่านั้น แต่มันยังให้เราทั้งประเทศได้สัมผัสถึงความภาคภูมิใจ ว่าเราสามารถทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากๆ ได้
.
.
วันนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะลุกมาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าจะทำสิ่งยิ่งใหญ่นั้นได้อย่างไร ? คำตอบนั้นจะปรากฏขึ้นเมื่อเริ่มออกเดิน และจะค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆในระหว่างทาง
.
.
อย่างไรก็ตามจงเตรียมพร้อมรับพายุแห่งความเข้าใจผิดบนเส้นทางที่ยิ่งใหญ่ จงเตรียมร่มเอาไว้เสมอ และดูแลอย่าให้ตัวเราเปียกปอนและไม่สบายจนไม่ได้เดินต่อไป เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเดินอยู่ในฤดูที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
.
.
ในโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวต่างๆอีกมากที่รอการแก้ไขผ่านโปรเจ็คที่ยิ่งใหญ่ เช่น การลดการใช้พลังงานที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน การระงับและกำจัดโรคภัยต่างๆ การให้ทุกคนเข้าถึงระบบการศึกษาแบบไร้พรมแดน
.
.
ด้วยวิทยาการที่ทันสมัยทำให้เราสร้างสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายดายกว่าเดิมมาก เราต้องให้โอกาสคนทุกคนในสังคมได้ร่วมมีบทบาทในการทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ เพื่อให้คนทุกคนรับรู้ถึงเป้าหมายที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
.
.
วิธีที่สอง คือ “ให้ทุกคนมีอิสระในการไล่ล่าเป้าหมายอย่างเท่าเทียม” คือ การทำให้ทุกคนมีอิสระที่จะล้มเหลว ถ้าเราไม่มีอิสระเพียงพอ เราจะไม่กล้าเริ่มต้นอะไรใหม่ เพราะเรากลัวความผิดพลาดและการลงโทษที่จะตามมาจากความผิดพลาดของเรา ทำให้เราต้องเก็บเป้าหมายเงียบๆไว้ในลิ้นชักที่หัวใจของเรา
.
.
เราทุกคนล้วนจะต้องผิดพลาดก่อนประสบความสำเร็จ ดังนั้นเราต้องการสังคมที่โฟกัสการลงโทษตีตราคนพลาดให้น้อยลง
.
.
ในอดีตคนรุ่นก่อนได้สร้าง “ความเท่าเทียม” คือ หลักหนึ่งคนหนึ่งเสียง (One Man One Vote) ไว้ในระบบการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย เขาได้สร้างข้อตกลงใหม่ๆ และสังคมที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ถึงเวลาของคนรุ่นเราแล้วที่จะนิยามสัญญาทางสังคมอันใหม่สำหรับคนรุ่นเรา
.
.
Mark Zuckerberg และภรรยา Priscilla Chan ได้ส่งเสริมความเท่าเทียมอย่างเป็นรูปธรรม โดยจัดตั้งหน่วยงานการกุศล Chan Zuckerberg Initiative เตรียมลงทุน 3 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเป็นทุนส่งเสริมให้นักวิทยาศาสตร์สามารถควบคุมและป้องกัน 4 โรคร้ายที่เป็นสาเหตุการตายของมนุษย์ส่วนใหญ่ ให้เด็กๆ มีโอกาสมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น และนอกจากงานด้านการป้องกันโรคภัยแล้ว Chan Zuckerberg Initiative ยังร่วมลงทุนใน Andela โครงการปั้นวิศวกรและโปรแกรมเมอร์ชาวแอฟริกันด้วย
.
.
อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมความเท่าเทียมนั้นไม่ได้จำกัดแต่ในรูปแบบของเงินเท่านั้น แค่เราสละเวลา 1-2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็เพียงพอแล้วที่เราจะยื่นมือช่วยให้คนอื่นเข้าถึงศักยภาพของพวกเขา เพราะเมื่อทุกคนสามารถทำความฝันให้กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ได้ มันก็ดีขึ้นกับเราทุกๆ คน
.
.
วิธีที่สาม คือ “การสร้างชุมชนที่ไร้รอยต่อ” ชุมชนที่ปราศจากการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ ศาสนาหรือสีผิว ชุมชนที่พลเมืองของโลกทุกคนอยู่ร่วมกันได้โดยไร้ซึ่งข้อขัดแย้ง หรือ “ไม่มีพวกเขา มีแต่พวกเรา”
.
.
มนุษยชาติก้าวหน้าได้เพราะ ผู้คนที่จับกลุ่มกันในจำนวนที่มากขึ้น จากชนเผ่าสู่เมือง และเมืองสู่ประเทศ เพื่อจะทำสิ่งที่พวกเราไม่สามารถทำได้โดยลำพัง
.
.
ไม่มีประเทศไหนสามารถต่อสู้กับเรื่องภาวะโลกร้อนหรือป้องกันโรคระบาดได้เพียงลำพัง การก้าวไปข้างหน้าต้องการการลงมือร่วมกัน ไม่ใช่แค่ในระดับเมืองหรือประเทศ แต่เป็นทั้งหมดในระดับโลก (Global Community)
.
.
เมื่อทุกคนอยู่ร่วมกัน เราก็จะสามารถสร้างสิ่งต่าง ๆ ร่วมกันได้ ช่วยเหลือกันได้โดยไม่ต้องแบ่งว่าประเทศไหนจะเริ่มก่อน ใครจะเป็นคนทำเพราะทุกคนทำร่วมกันทั้งหมด และเราสามารถเริ่มสร้างชุมชมเล็ก ๆ กันได้ทันทีเพราะหลายๆคนก็ได้เริ่มทำกันแล้ว.
.
.
Agnes Igoye ใช้เวลาในวัยเด็กอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งในเขตอูกันดาแล้วตอนนี้เธอได้ใช้ประสบการณ์อบรมผู้รักษากฏหมายกว่าพันคนเพื่อช่วยให้ชุมชนปลอดภัย
.
.
Kayla Oakey และ Niha Jain เริ่มสร้างองค์กรที่ไม่แสวงกำไรที่ช่วยเชื่อมคนที่กำลังทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดกับกลุ่มคนในชุมชนที่พร้อมจะให้การช่วยเหลือ
.
.
David Razu Aznar อดีตเทศมนตรีเมืองที่เคยช่วยต่อสู้ จนทำให้เมืองเม็กซิโกซิตี้เป็นเมืองแรกในเขตละตินอเมริกาที่ผ่านกฏหมายการแต่งงานของเพศเดียวกันได้ก่อนซานฟรานซิสโกด้วยซ้ำ
.
.
และแม้แต่ Facebook เอง ที่เริ่มจากนักศึกษาในหอพัก ที่ช่วยเชื่อมต่อชุมชนทีละหนึ่งชุมชน และยังคงมุ่งมั่นทำมันจนสามารถเชื่อมต่อทั้งโลกไว้ด้วยกัน
.
.
โดยสรุปแล้วเราจะทำโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จได้หรือไม่ ? ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ “ความสามารถในการสร้างให้ทุกคนมีการรับรู้ถึงเป้าหมาย”
.
.
และในวินาทีต่อจากนี้ที่เรากำลังจะเดินออกไปสู่โลกที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับเราแล้วล่ะที่จะสร้างมันขึ้นมาได้สำเร็จหรือไม่ ? และก่อนจากกันขอทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำจากบทสวดของ Mi Shebeirach
.
.
“ขอแหล่งพลังที่เคยได้เป็นพรกับคนที่มาก่อนเรา ช่วยเรา ให้เราพบความกล้า ที่จะทำให้ชีวิตของเราเป็นดั่งพร” (May the source of strength, who blessed the ones before us, help us find the courage to make our lives a blessing.)
.
.
ขอให้เราได้พบความกล้าที่จะทำให้ชีวิตเราเปี่ยมไปด้วยพร
.
.
ขอแสดงความยินดีด้วย บัณฑิตใหม่ทุกคนที่จบการศึกษาในปีนี้ และขอให้โชคดีกับหนทางข้างหน้า
.
.
อ่านสุนทรพจน์แบบเต็มๆได้ที่ https://goo.gl/MydD4K
.
.
ชมสุนทรพจน์แบบเต็มๆได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=BmYv8XGl-YU
.
.
#DNAbySPU2
“IT’S COMING”
.
#DNAbySPU รุ่น 2 [Register NOW]
ยังไม่เปิด แต่หากสนใจลงชื่อไว้ก่อนที่นี่เลย
http://www.DNAbySPU.com/DNAbySPU2.html
.
หมายเหตุ
#DNAjournal จัดทำเพื่ออธิบายต่อยอดข้อมูลจากสุนทรพจน์จาก Mark Zuckerberg ในงานฉลองจบการศึกษาของฮาร์วาร์ด
.
.
จัดทำโดย หลักสูตร #DNAbySPU :: Digital Network Advantage , Digital Business Management Department, Sripatum Business School, #SPU
www.DNAbySPU.com
ใช้ #DigitalMarketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง